ระบบจัดการ CMS คืออะไร

ระบบจัดการ CMS คืออะไร

ระบบจัดการ CMS คืออะไร โดย CMS เป็นระบบการจัดการเนื้อหา ที่มาจากภาษาอังกฤษว่า Content Management System หรือ CMS ซึ่งเป็นซฟต์แวร์ที่ช่วยให้ผู้ใช้สามารถสร้างการจัดการ และแก้ไขเนื้อหาบนเว็บไซต์ได้ โดยไม่จำเป็นต้องมีความรู้ทางเทคนิคเฉพาะทางนั่นเอง

หรืออีกในความหมายหนึ่ง ระบบการจัดการเนื้อหาเป็นเครื่องมือที่จะสามารถช่วยให้ผู้ใช้งานสร้างเว็บไซต์ โดยที่ไม่จำเป็นต้องเขียนโค้ดทั้งหมดตั้งแต่เริ่มต้น (หรือแม้กระทั้งสามารถรู้วิธีการเขียนโค้ดในแบง่ายได้เลย)

แทนที่จะสร้างระบบของผู้ใช้สำหรับการสร้างหน้าเว็บการจัดการเก็บรูปภาพ และฟังก์ชันอื่น ๆ แต่ระบบจักการเนื้อหานี้ จะสามารถจัดการโครงสร้างพื้นฐานทั้งหมดให้เองแบบอัตโนมัติ เพื่อเป็นการประหยัดเวลา และความสะดวกของผู้ใช้

และนอกจากเว็บไซต์แล้ว ผู้ใช้งานยังสามารถค้นหาระบบจัดการนื้อหาสำหรับฟังก์ชันอื่น ๆ ได้ เช่น การจัดการเอกสาร เป็นต้น

ระบบจัดการเนื้อหา (CMS) ทำงานอย่างไร

เพื่อให้ผู้ใช้งานสามารถเข้าใจ และทราบถึงระบบมากขึ้น จะขอยกตัวอย่างของ WordPress มาเป็นตัวอย่าง เนื่องจาก WordPress มีระบบจัดการเนื้อหาที่ดี และมีประสิทธิภาพมากที่สุด โดยเริ่มจากการสร้างเนื้อหา

แต่เนื้อหานั้นจะต้องเขียนเป็นไฟล์ HTML แบบคงที่ และอัปโหลดไปยังเซิร์ฟเวอร์ของผู้ใช้งานได้เลย (แรก ๆ ฟังดูก็อาจจะซับซ้อนนิดหน่อยสำหรับคนที่กำลังเริ่มต้น แต่ถ้าทุกคนศึกษา และทำความเข้าใจให้มากขึ้น รับรองว่าความซับซ้อนนี้จะหายไปแน่นอน)

และด้วยระบบจัดการเนื้อหาของ WordPress ผู้ใช้งานสามารถเขียนเนื้อหาของตนเองได้ในอินเทอร์เฟซที่ดูคล้าย Microsoft Word ได้เลย

ระบบจัดการ CMS คืออะไร

( เริ่มมีความง่ายขึ้นแล้วใช่ไหม) และในทำนองเดียวกัน ในการอัปโหลด และจัดการสื่อต่าง ๆ เช่น รูปภาพ ผู้ใช้งานสามารถเรียกดูในห้องสมุด หรือที่เก็บข้อมูลได้ แทนที่จะต้องโต้ตอบกับเว็บเซิร์ฟเวอร์ของผู้ใช้งานโดยตรง

ซึ่งระบบจัดการเนื้อหาไม่ได้เป็นเพียงอินเทอร์เฟซการจัดการแบ็กเอนด์เท่านั้น นอกจากนี้เนื้อหาทั้งหมดที่ผู้ใช้งานสร้างขึ้น จะแสดงสำหรับผู้ที่เข้ามาเยี่ยมชมในเว็บไซต์ของเจ้าของเว็บ ในแบบที่คุณต้องการ

ระบบจัดการ CMS คืออะไร

อะไรคือองค์ประกอบของระบบการจัดการเนื้อหา

ในระดับเทคนิคมากขึ้น ระบบการจัดการเนื้อหาประกอบด้วย 2 ส่วนหลัก ๆ คือ

  • แอปพลิเคชันการจัดการเนื้อหา (CMA) – เป็นส่วนที่สามารถช่วยให้ผู้ใช้งานสามารถเพิ่ม และจัดการเนื้อหาบนไซต์ของคุณได้จริง (เช่นตัวอย่างด้านด้านบน)
  • แอปพลิเคชันการจัดส่งเนื้อหา (CDA) – คือ แบ็กเอนด์ กระบวนการเบื้องหลังที่นำเนื้อหาที่ผู้ใช้ป้อนใน CMA จัดเก็บอย่างเหมาะสม และทำให้ผู้เยี่ยมชมมองเห็นได้

โดยทั้งสองระบบนี้ ได้ร่วมกันทำให้การดูแลเว็บไซต์ของผู้ใช้งาน ซึ่งเป็นเรื่องง่าย และสะดวกต่อผู้ใช้งานเป็นอย่างมาก

วิธีสร้างเว็บไซต์ด้วยระบบจัดการเนื้อหา (CMS)

กระบวนการสร้างเว็บไซต์ด้วยตนเอง โดยทั่วไปจะมีลักษณะดังนี้

  • ตั้งชื่อซื้อเว็บโฮสติ้ง และชื่อโดเมน
  • ติดตั้งระบบจัดการเนื้อหาที่คุณเลือกบนเว็บเซิร์ฟเวอร์ของคุณ
  • กำหนดค่า ระบบจัดการเนื้อหา เพื่อกำหนดลักษณะ และการทำงานของไซต์
  • เริ่มเขียนเนื้อหาโดยใช้อินเทอร์เฟซของระบบจัดการเนื้อหา

ซึ่งจะเห็นว่า มันง่ายอย่างน่าประหลาดใจจริง ๆ และโฮสต์อย่าง Kinsta ยังสามารถช่วยติดตั้งระบบจัดการเนื้อหาให้คุณได้ (ในกรณีนี้คือ WordPress) ดังนั้น ผู้ใช้จึงสามารถเข้าสู่การสร้างไซต์ได้โดยตรงโดยไม่ต้องตั้งค่าทางเทคนิคเลย

เว็บไซต์ประเภทใด สามารถสร้างด้วยระบบจัดการเนื้อหา (CMS) ได้

ระบบจัดการเนื้อหาส่วนใหญ่ค่อนข้างยืดหยุ่นในปัจจุบัน แม้ว่าจะมีบางส่วนที่เน้นการใช้งานเฉพาะ เช่น Magento และ eCommerce แต่ระบบการจัดการเนื้อหายอดนิยมส่วนใหญ่สามารถใช้เพื่อสร้างเว็บไซต์ได้ทุกประเภท

ตัวอย่าง เช่น คุณสามารถใช้ WordPress เพื่อเพิ่มสิ่งต่อไปนี้

  • Static websites
  • บล็อก
  • ร้านค้าอีคอมเมิร์ซ
  • ฟอรัม
  • สังคมออนไลน์
  • หลักสูตรออนไลน์
  • เว็บไซต์สมาชิก
  • พอร์ตการลงทุน ฯลฯ

ความรู้เพิ่มเติม

WordPress เป็นระบบจัดการเนื้อหาที่ได้รับความนิยมมากที่สุดในโลก เดิมที ได้เปิดตัวในฐานะแพลตฟอร์มบล็อก ในปี 2546 ปัจจุบัน WordPress มีความนิยม 40.0% ของเว็บไซต์ทั้งหมด และควบคุมตลาดระบบจัดการเนื้อหาที่รู้จักกันมากถึง 40.0%

ตัวอย่างของหน่วยงานที่มีชื่อเสียงโดยใช้ WordPress ในการสร้าง หรือมีหน้าเว็บไซต์ยอดนิยมบางแห่ง ได้แก่

  • Whitehouse.gov
  • Sony Mobile
  • มหาวิทยาลัยวอชิงตัน
  • เมอร์เซเดสเบนซ์
  • TechCrunch
  • ชาวนิวยอร์ก

Drupal มีมานานกว่า WordPress แม้ว่าจะไม่มีส่วนแบ่งการตลาดของ WordPress ก็ตาม แต่ Drupal เปิดตัวครั้งแรกในปี 2000 มีความนิยม 2.3% ของเว็บไซต์ทั้งหมด และมีส่วนแบ่ง 4.6% ของตลาดระบบการจัดการเนื้อหา โดยเว็บไซต์ที่มีชื่อเสียงบางแห่งที่ทำงานบน Drupal ได้แก่

  • มหาวิทยาลัยโคโลราโด
  • รัฐโคโลราโด
  • นักเศรษฐศาสตร์
  • ดัลลัสเคาบอย
  • Nasa.gov

เครดิต https://up388.com/
เพิ่มเติมบทความ /

WordPress คืออะไร

WordPress คืออะไร

WordPress คืออะไร เมื่อพูดถึง WordPress หลายคนอาจเข้าใจแล้วว่ามันคืออะไร และก็มีอีกหลายคนที่ยังไม่เข้าใจว่ามันคืออะไร ซึ่ง WordPress ในปัจจุบันได้ถูกพัฒนาเป็นโซลูชันยอดนิยมในการสร้างเว็บไซต์ทุกประเภท และถูกใช้โดยบุคคลที่ทำธุรกิจขนาดใหญ่

โดย WordPress ถูกสร้างขึ้นเป็นแบบสแตนด์อโลน ซึ่งมีต้นกำเนิด หรือคิดค้นขึ้นมาตั้งแต่ปี 2003 เป็นต้นมา แต่เดิมโครงการก่อนหน้านี้เรียกว่า b2 / cafelog

ซึ่ง WordPress เป็นซอฟต์แวร์โอเพนซอร์ส ดังนั้น ในปัจจุบันจึงถูกสร้างขึ้น หรือผู้คนมีส่วนร่วมจำนวนมาก แต่ถ้าเราจะติดตามต้นกำเนิดของ WordPress กลับไปที่รากฐานของมัน ซึ่งการสร้างดั้งเดิมนั้นเป็นความร่วมมือระหว่าง Matt Mullenweg และ Mike Little

ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา Matt Mullenweg ก็กลายเป็นหน้าตาของ WordPress เป็นส่วนใหญ่ และเขายังเป็นผู้ก่อตั้ง Automattic ซึ่งเป็น บริษัทที่อยู่เบื้องหลังบริการ WordPress.com ที่แสวงหาผลกำไร

และปัจจุบันนิยมใช้ WordPress กันมากกว่า 40% ของเว็บไซต์ทั้งหมดบนอินเทอร์เน็ต รวมถึงหน่วยงานต่าง ๆ ที่มีชื่อเสียงก็นิยมใช้เช่นกัน เช่น White House Sony, Time Inc. , New York Post, NBC และ Microsoft ซึ่งมีหลายเหตุผลที่บุคคลส่วนใหญ่เลือกใช้ WordPress

ไม่ว่าจะเป็นการสร้งเว็บไซต์ประเภทใดก็ตาม ตั้งแต่บล็อก ร้านค้า อีคอมเมิร์ซ ซึ่ง WordPress สามารถเป็นอีกหนึ่งตัวเลือกที่ดีที่สุด

และ WordPress ติดหนึ่งในสามอันดับของเว็บไซต์ทั่วโลก ที่มีความนิยม และมีประสิทธิภาพมากที่สุด ไม่ว่าจะเป็นบล็อกส่วนตัวขนาดเล็ก ไปจนถึงไซต์ขนาดใหญ่ที่มีความซับซ้อนก็ตาม WordPress เป็นหนึ่งในผู้สร้างไซต์ และระบบจัดการเนื้อหาที่ผู้ใช้สามารถดาวน์โหลดได้ง่าย ไม่ซับซ้อน

และมีคุณสมบัติพิเศษหลายอย่าง และเป็นระบบการจัดการด้านเนื้อหาที่มีความนิยมมากที่สุดในปัจจุบัน นอกจากจะสามารถดาวน์โหลด และใช้งานได้ง่าย ไม่ซับซ้อนแล้ว ยังสามารถปรับแต่งเว็บไซต์ได้ง่าย เนื่องจากมีฟังก์ชันพิเศษหลายอย่างในการปรับแต่งให้เหมาะสมกับความต้องการของผู้ใช้งานได้อย่างสะดวก และรวดเร็ว

WordPress สามารถสร้างเว็บไซต์ประเภทใดได้บ้าง

โดย WordPress ไม่เพียงแต่จะเพิ่มประสิทธิภาพให้กับไซต์ธุรกิจ และบล็อกจำนวนมาก แต่ยังเป็นวิธีที่ได้รับความนิยมมากที่สุดในการสร้างร้านค้าอีคอมเมิร์ซอีกด้วย! โดย WordPress สามารถสร้างเว็บไซต์ได้หลายประเภท เช่น

  • เว็บไซต์ธุรกิจ
  • ร้านค้าอีคอมเมิร์ซ
  • บล็อก
  • พอร์ตการลงทุน
  • ฟอรัม
  • สังคมออนไลน์
  • เว็บไซต์สมาชิก ฯลฯ
WordPress คืออะไร

ความแตกต่างระหว่าง WordPress.org และ WordPress.com

  • WordPress.org ซึ่งมักเรียกว่า self-hosted WordPress ซึ่งซอฟต์แวร์ WordPress โอเพนซอร์สฟรี และสามารถสร้างเป็นเว็บไซต์ของตัวเอง โดยสามารถออกแบบของรูปแบบเว็บไซต์ได้ด้วยตัวเอง 100%
  • WordPress.com เป็นบริการที่แสวงหาผลกำไร และมีค่าใช้จ่ายซึ่งขับเคลื่อนโดยซอฟต์แวร์ WordPress.org ใช้งานง่าย แต่คุณอาจสูญเสียความยืดหยุ่นของ WordPress ที่โฮสต์เองไปมาก

โดยส่วนใหญ่แล้ว เมื่อผู้คนพูดว่า “WordPress” พวกเขามักจะหมายถึง self-hosted WordPress ซึ่งมีอยู่ใน WordPress.org หากคุณต้องการเป็นเจ้าของเว็บไซต์อย่างแท้จริง WordPress.org มักเป็นตัวเลือกที่ดีที่สุด

ประโยชน์ของการใช้แพลตฟอร์ม WordPress

1. มีความยืดหยุ่น และสามารถปรับเปลี่ยนได้ตามความต้องการ

2. ใช้งานง่าย และเหมาะกับผู้ใช้งานทุกประเภท แม้กระทั่งสำหรับผู้ที่เริ่มต้นใช้งาน

3. ธีมมีหลายตัวเลือก

4. ปลั๊กอินขยายฟังก์ชันการทำงาน

5. เว็บไซต์ WordPress อยู่ในอันดับสูง

6. ไซต์ WordPress ตอบสนองต่ออุปกรณ์เคลื่อนที่

7. ไซต์ WordPress มีบล็อกในตัว

8. ชุมชน WordPress เสนอการสนับสนุน และชุมชน WordPress ยังมีส่วนร่วมในการเผยแพร่สู่ผู้ใช้มากมาย เช่น การจัดค่าย WordPress ทั่วโลก และสนับสนุนการเติบโตของกลุ่มผู้ใช้ WordPress ในพื้นที่

WordPress คืออะไร

อย่างไรก็ตาม WordPress ได้ถูกใช้โดยเว็บไซต์ที่ใช้ CMS กว่า 30 เปอร์เซ็นต์ทั่วโลก และง่ายต่อการดูว่า ทำไม WordPress เป็นเครื่องมือสำคัญในการสร้างเว็บไซต์ ซึ่ง WordPress พร้อมใช้งานสำหรับผู้ใช้ทุกคน ไม่ใช่เพียงแค่นักพัฒนาเว็บที่มีประสบการณ์เท่านั้น

และเครื่องมือเหล่านี้ ยังสามารถรองรับไซต์ส่วนตัวขนาดเล็ก และเว็บพอร์ทัลขนาดใหญ่ที่ซับซ้อนได้ ด้วยคุณสมบัติมากมาย เช่น ธีม และปลั๊กอินที่ออกแบบมาเพื่อขยายฟังก์ชันต่าง ๆ และ WordPress จึงทำงานได้กับไซต์ทุกประเภท ซึ่งเป็นเหตุผลที่ปัจจุบันมีความนิยมใช้มากที่สุด

เครดิต https://up388.com

เพิ่มเติม /

โฆษณา PPC คืออะไร

โฆษณา PPC คืออะไร

โฆษณา PPC คืออะไร ซึ่งพวกเรามาไกลแค่ไหนจากป้ายโฆษณา ใบปลิว และการขายแบบ door-to-door โดยวาระการประชุมทั้งหมดตั้งแต่เริ่มต้น คือ การดึงดูดความสนใจของผู้ชม หรือกลุ่มเป้าหมาย

แต่ด้วยความก้าวหน้าทางเทคโนโลยี ความสะดวกสบาย จึงถูกมอบให้กับโลกอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน นั่นก็คือPPC หรือ Pay-Per-Click หรือรู้จักกันทั่วไปในชื่อว่า Paid Search คือ ช่องทางการโฆษณาออนไลน์บน search engine นั่นเอง

จากข้อมูลของ PPC Protect นักการตลาด 79% เชื่อว่าการโฆษณา PPC มีประโยชน์อย่างมากต่อธุรกิจของพวกเขา 62% ของนักการตลาดระบุว่า พวกเขาจะเพิ่มงบประมาณ PPC สำหรับปีต่อไป นี่คือในปี 2019 และความต้องการโฆษณา PPC เพิ่มขึ้นทุกนาที

การโฆษณาแบบจ่ายต่อคลิก (PPC) คืออะไร ?

พูดง่ายๆ คือ Pay-Per-Click หรือ PPC Advertising เป็นรูปแบบการโฆษณาที่ผู้โฆษณาจ่ายทุกครั้งที่มีคนคลิกโฆษณาออนไลน์ของตน โฆษณาเหล่านี้มักจะปรากฏบนผลการค้นหา 2 หรือ 3 อันดับแรก เมื่อคุณค้นหาบางสิ่งบน Google

หากคุณสงสัยว่า Google จัดอันดับโฆษณาที่แตกต่างกันอย่างไรนั่น เป็นเพราะการเสนอราคา ผู้ลงโฆษณาเสนอราคาสำหรับคำหลักบางคำที่ผู้มีโอกาสเป็นลูกค้ามักจะค้นหา และยิ่งผู้ขายเสนอราคาสำหรับคำหลักเดียวกันมากเท่าไหร่ ราคาเสนอก็จะสูงขึ้นเท่านั้น

และยังเปลี่ยนวิธีการจัดอันดับลิงก์ต่าง ๆ อย่างต่อเนื่อง และทั้งหมดนี้ก็เพื่อให้ผู้บริโภคได้พบกับผู้ขายที่เหมาะสม เจตนาของ Google คือ การปรับปรุงความเกี่ยวข้องของผลการค้นหา และลดกิจกรรมที่เป็นสแปม และผิดจรรยาบรรณ

ซึ่งเป้าหมายของผู้ค้นหา คือ การค้นหาคำหลักที่มีปริมาณการค้นหาสูง และความยากของคำหลักต่ำ ในคำพูดของคนธรรมดาคุณต้องหาคำหลักที่กลุ่มเป้าหมายของคุณน่าจะค้นหา และเป็นสิ่งที่ดีที่สุด ที่คู่แข่งของคุณไม่เสนอราคามากนัก มาดู 3 ขั้นตอนในการค้นหาคำหลักที่เหมาะสมเป็นอย่างไร

1. หัวข้อที่เกี่ยวข้อง

ขึ้นอยู่กับลักษณะของธุรกิจที่คุณอยู่ คุณจะต้องค้นหาหัวข้อที่เกี่ยวข้องกับตลาดเป้าหมายของคุณมากที่สุด คุณสามารถสร้างรายการนั้นได้ โดยใช้เครื่องมือ เช่น Keywords Everywhere ซึ่งคุณจะได้รับรู้ว่าคำหลักใดที่เกี่ยวข้องกับธุรกิจของคุณ

ใช้ความคิดสร้างสรรค์ของคุณเองในกระบวนการนั้น และระบุหัวข้อที่เกี่ยวข้องทั้งหมดที่อาจเกี่ยวข้องกับธุรกิจของคุณ มีเครื่องมือ เช่น เครื่องมือวางแผนคำหลักของ Google, SEMrush, Moz Keyword Explorer เป็นต้นสามารถใช้เครื่องมือเหล่านี้ เพื่อค้นหาปริมาณการค้นหาของหัวข้อเหล่านี้ และทำการวิเคราะห์คู่แข่ง ปริมาณการค้นหาของแต่ละหัวข้อเหล่านั้น จะทำให้คุณทราบว่าหัวข้อเหล่านั้น มีความสำคัญต่อตลาดเป้าหมายของคุณมากเพียงใด

2. คีย์เวิร์ดของเรื่อง

เมื่อคุณมีหัวข้อที่แสดงให้คุณเห็นว่ามีความต้องการมากน้อยเพียงใดสำหรับหัวข้อต่าง ๆ แล้ว ก็ถึงเวลาใช้คำหลักที่เกี่ยวข้องกับหัวข้อเหล่านั้น การรู้วิธีค้นคว้าคำหลักอย่างถูกวิธีจะช่วยจำกัดสิ่งที่ผู้คนกำลังมองหาให้แคบลงไปอีก

ตัวอย่างเช่น หากคุณขายเครื่องดนตรี คุณจะต้องหาสิ่งที่คนส่วนใหญ่มองหา หาก Guitar เป็นหัวข้อที่มีการค้นหามากที่สุด คุณอาจใช้คำหลัก เช่น “ซื้อกีตาร์ไฟฟ้า” และ “ซื้อกีต้าร์โปร่ง” หาก KD (ความยากของคำหลัก) ของคำหลักเหล่านี้สูง คุณจะรู้ว่าคุณต้องลงทุน เพื่อจัดอันดับสำหรับคำหลักเหล่านี้

3. ความตั้งใจ และความสัมพันธ์ของคำหลัก

นี่เป็นเหมือนปัจจัยเพิ่มเติมที่คุณต้องคำนึงถึง ในขณะที่ค้นหาคำหลัก คุณจะต้องเข้าใจเจตนาของบุคคลที่ใช้คำหลัก ตัวอย่างเช่น หากตลาดเป้าหมายของคุณกำลังค้นหา “บทเรียนกีตาร์” และคุณใช้จ่ายไปกับคำหลักเช่น “ซื้อกีตาร์” ก็จะไม่เกี่ยวข้อ

เคล็ดลับคุณควรลงทุนในคำหลักที่เกี่ยวข้องกับสิ่งที่คุณขายด้วยเช่นกัน ตัวอย่างเช่น หากคุณขายกีตาร์ คุณยังสามารถลงทุนในคำหลักเช่น “ปกกีตาร์” หรือ “สายกีต้าร์” เพื่อให้ผู้ซื้อที่มีแนวโน้มจะเข้าชมหน้า Landing Page ของคุณ อย่าลืมว่า เป้าหมาย คือ การเพิ่มผู้ชมเป้าหมายของคุณในช่องทางการขายของคุณ และในการทำเช่นนั้น การรู้จุดประสงค์ของผู้ใช้ในการค้นหาด้วยคำหลักหนึ่ง ๆ เป็นสิ่งที่จำเป็น

ประโยชน์ของการโฆษณา PPC

เพื่อให้เข้าใจว่าการโฆษณา PPC มีประสิทธิภาพเพียงใด คุณต้องเข้าใจว่ามันทำอะไรให้ธุรกิจของคุณ นี่คือประโยชน์ที่น่าอัศจรรย์บางประการของการโฆษณา PPC ที่สามารถเข้าได้ง่ายที่สุด

อย่างไรก็ตามการเริ่มต้นการโฆษณา PPC สามาถช่วยให้คุณสามารถมองเห็นตลาดเป้าหมายของคุณได้ โดยไม่ต้องทำการจัดอันดับของคุณ ขึ้นอยู่กับจำนวนเงินที่คุณยินดีจ่าย คุณสามารถจัดอันดับในผลการค้นหาสองสามอันดับแรกของ Google ซึ่งจะช่วยให้คุณบรรลุเป้าหมายทางธุรกิจ และการตลาดของคุณได้

หากคุณใช้ Google Analytics กับ Google Ads คุณจะสามารถวัดจำนวนคลิกการแสดงผล และ Conversion ที่เกิดขึ้นจากผู้ที่เข้าชมหน้า Landing Page ของคุณ และเป้าหมายทั้งหมดของการโฆษณา PPC คือ การทำให้สิ่งต่าง ๆ มีประสิทธิภาพในระยะยาว เมื่อคุณเข้าใจว่าคำหลักใดไม่มีประสิทธิภาพ คุณสามารถหยุดลงทุนกับคำหลักเหล่านั้นได้ คุณยังสามารถวิเคราะห์อัตราตีกลับ ซึ่งเป็นตัวบ่งชี้ที่ดีว่ามีการเข้าชมที่ไม่เกี่ยวข้องมากเพียงใด

และ PPC ยังช่วยพัฒนากลยุทธ์ SEO เป้าหมายของการโฆษณา PPC สำหรับหลายธุรกิจ คือ การหลีกเลี่ยงไม่ว่าจะเป็นบางส่วน หรือทั้งหมด เพื่อให้พวกเขาสามารถมุ่งเน้นไปที่แหล่งข้อมูลอื่น ๆ ที่ช่วยปรับปรุงการเข้าถึงของพวกเขา

หนึ่งในแหล่งที่มา คือ SEO SEO (Search Engine Optimization) เป็นวิธีการเข้าถึงตลาดเป้าหมายแบบออร์แกนิก ที่เป็นกระบวนการที่ยาวนาน

การโฆษณา PPC มีประสิทธิภาพเพียงใด

โดยพื้นฐานแล้ว การโฆษณาทุกรูปแบบจะขึ้นอยู่กับการดึงดูดความสนใจของตลาดเป้าหมาย ในจำนวนครั้งที่เพียงพอ เพื่อให้พวกเขาคุ้นเคยกับชื่อของคุณโดยที่ไม่รู้ตัว นั่นคือสิ่งที่ป้ายโฆษณา ใบปลิว หรือแม้แต่โฆษณาทางโทรทัศน์ และวิทยุ พยายามที่จะบรรลุมาหลายปีแล้ว

แต่การโฆษณา PPC ไม่แตกต่างกันในแง่เหล่านั้นยกเว้นว่า ดีกว่าช่องทางการโฆษณาอื่น ๆ ที่เคยมีมาก่อน นี่คือเหตุผล จากข้อมูลของ Statista ที่มีผู้ใช้สมาร์ทโฟน 3.5 พันล้านคนทั่วโลก ซึ่งเป็นจำนวนที่คาดว่าจะเพิ่มขึ้นทุกปีเท่านั้น สิ่งที่แสดงให้เห็น คือ วิธีที่เข้าถึงได้ และดึงดูดความสนใจได้มากเพียงใด

จากข้อมูลของ Guardian คนทั่วไปใช้เวลากับโทรศัพท์ 3 ชั่วโมง 15 นาที คุณไม่จำเป็นต้องใช้ข้อมูลสถิตินี้เพื่อทำความเข้าใจ ว่าเราพึ่งพาเทคโนโลยีอย่างไร สมาร์ทโฟน แท็บเล็ต แล็ปท็อป ซึ่งสิ่งเหล่านี้นำทุกคนมาอยู่บนแพลตฟอร์มได้โดยทั่วไป แต่ก็ขึ้นอยู่กับลักษณะธุรกิจของคุณ ซึ่งจะแนะนำให้ใช้ PPC สำหรับผลิตภัณฑ์ทั้งหมดที่ผู้คนมองหาในเครื่องมือค้นหา (เช่น Google)

สำหรับการลงทุนในโฆษณา PPC เพื่อความเป็นธรรมทั้งหมดขึ้นอยู่กับว่าใครเป็นผู้จัดการแคมเปญของคุณ หากคุณไม่ใช่ผู้เชี่ยวชาญ คุณสามารถจ้างมืออาชีพที่เชี่ยวชาญในการโฆษณา PPC ได้ตลอดเวลา และสามารถให้ผลลัพธ์ที่ยอดเยี่ยมในขณะที่เสนอข้อเสนอแนะที่มีค่า

โฆษณา PPC คืออะไร

จะเห็นว่า มีหลายวิธีในการ ในการโฆษณาในยุคนี้ แต่ตอนนี้เราเข้าใจแล้วว่า PPC Marketing มีประสิทธิภาพเพียงใด เนื่องจากใช้ได้กับเกือบทุกรูปแบบธุรกิจ หากคุณต้องการที่จะลองตลาด PPC สำหรับตัวคุณเองคุณสามารถตรวจสอบคู่มือนี้เพื่อการตลาด PPC ขึ้นอยู่กับความต้องการของคุณคุณสามารถโฆษณาได้ที่โซเชียลมีเดีย-Facebook, Instagram, LinkedIn และอื่น ๆ แพลตฟอร์มอีคอมเมิร์ซ – Amazon, eBay และอื่น ๆ PPC – Google, Bing และอื่น ๆ

เครดิต https://up388.com

เพิ่มเติม /

วิธีสร้างโฆษณาบน TikTok

วิธีสร้างโฆษณาบน TikTok

วิธีสร้างโฆษณาบน TikTok โดย TikTok เป็นแพลตฟอร์มที่มีผู้ใช้งานมากกว่า 800 ล้านคน และได้กลายเป็นโอกาสที่ดีสำหรับแม่ค้า หรือผู้ขายทุกท่านจะได้ใช้เป็นโอกาสในการสร้างโฆษณาที่มีเนื้อหาด้านวิดีโอ

และเป็นแนวทางในการสร้างความสำเร็จด้วยแพลตฟอร์มการตลาดที่สามารถออกแบบโฆษณาได้ด้วยตนเอง ไม่ว่าจะเกี่ยวข้องกับการเพิ่มยอดขายของสินค้า หรือการเพิ่มยอดไลน์ หรือยอดชมเว็ปไซต์

รวมถึงการโฆษณาเปิดตัวของสินค้าก็ตาม ซึ่งทุกคนสามารถสร้างผลงานโฆษณาด้วยความสร้างสรรค์ที่สามารถสร้างขึ้นมาได้ด้วยตัวเอง และวันนี้จะมีวิธีการสร้างโฆษณาแบบเข้าใจง่ายบน TikTok มาฝากกัน

โดยได้รวบรวมความรู้เกี่ยวกับโฆษณาบน TikTok และโฆษณาประเภทต่าง ๆ รวมถึงความสำคัญของ TikTok มีดังนี้

TikTok คืออะไร ?

โดย TikTok เป็นเครือข่ายโซเชียล สำหรับแชร์วิดีโอที่ให้ผู้ใช้งานสร้าง และแชร์วิดีโอสั้น ๆ ซึ่งเป็นของ ByteMedia แต่อย่างไรก็ตาม ในตอนแรก Douyin ได้เปิดตัวเป็นเวอร์ชันภาษาจีนในเดือนกันยายน 2559 โดยขณะนี้มีให้บริการใน 155 ประเทศทั่วโลก ผ่านทาง Google Play Services และ App Store เป็นที่เรียบร้อย

TikTok แสดงให้เราเห็นทางเลือกของการแบ่งปันทางออนไลน์ทั้งหมด ไม่ว่าจะเป็นคลิปวิดีโอตลก คริปสร้างสรรค์ต่าง ๆ และคลิปความรู้ทางด้านต่าง ๆ ก็ตาม ขึ้นอยู่กับผู้ใช้งานที่จะสร้างขึ้น

ซึ่งมีผู้ใช้งานหลายประเภท ทุกเพศ ทุกวัย และขึ้นอยู่กับความนิยมของแต่ละบุคคล เนื่องจากมีวัฒนธรรมย่อยสำหรับทุกคนตั้งแต่ #dogtok ไปจนถึง #businesstok ด้วยเทคนิคการกำหนดเป้าหมายโฆษณา TikTok สามารถช่วยคุณค้นหาเฉพาะกลุ่มออกแบบด้านเนื้อหาโฆษณา

โดยในช่วงต้นปี 2019 TikTok ได้เปิดตัวแพลตฟอร์มโฆษณาเวอร์ชันเบต้า ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา แบรนด์ใหญ่ ๆ เช่น Grubhub, Nike, Fenty Beauty และ Apple music ได้เริ่มโฆษณาบน TikTok เพื่อโปรโมตแคมเปญที่แปลกใหม่ ทันสมัย และไม่เหมือนใคร

TikTok Ads คืออะไร ?

โฆษณา TikTok ได้รับการสนับสนุนวิดีโอมือถือรูปแบบสั้นที่โพสต์ไปยังแพลตฟอร์มโฆษณา TikTok เพื่อเข้าถึงผู้ชมจำนวนมากขึ้น คุณสามารถใช้โฆษณาเหล่านี้ เพื่อเพิ่มการเปิดเผยแบรนด์ของคุณ เพิ่มการเข้าชมเว็บไซต์

โดยเฉพาะอย่างยิ่ง สำหรับวิดีโอรูปแบบสั้น TikTok ไม่อนุญาตให้คุณโพสต์โฆษณาแบบข้อความ หรือภาพนิ่ง ซึ่งโฆษณาวิดีโอจะมีความยาวระหว่าง 9 ถึง 60 วินาที และโฆษณาฟีดเหล่านี้จะรวบรวมคำกระตุ้นการตัดสินใจของลูกค้า ซึ่งโฆษณาเหล่านี้จะกลมกลืน หรือแทบจะแยกไม่ออกเลยว่าเป็นโฆษณา หรือวิดีโอตามแบบที่ TikTok ได้วางแพลตฟอร์มไว้

จะสร้างบัญชีโฆษณา TikTok ได้อย่างไร ?

ในการสร้างบัญชีโฆษณา TikTok คุณจะต้องเปิดบัญชี TikTok สำหรับธุรกิจของคุณโดยเฉพาะ ซึ่งกระบวนการนี้ค่อนข้างง่าย แต่มีไว้สำหรับลูกค้าในภูมิภาคที่ TikTok รองรับผู้ลงโฆษณาแบบบริการตนเองเท่านั้น สามารถทำตามขั้นตอน ได้ดังนี้

1) สร้างการเข้าสู่ระบบ

ไปที่หน้าลงชื่อสมัครใช้ และสร้างข้อมูลเข้าสู่ระบบ โดยใช้ที่อยู่อีเมล หรือหมายเลขโทรศัพท์ เพื่อยืนยันข้อมูลการเข้าสู่ระบบของคุณ ยอมรับข้อกำหนด และเงื่อนไขแล้วคลิก สมัคร

2) สร้างบัญชีของคุณ

กรอกข้อมูลทั้งหมดที่จำเป็น โดยการเลือก ประเทศ / ภูมิภาค ชื่อธุรกิจ ที่ตั้ง ในช่องว่าง ตามลำดับให้ครบถ้วน สามารถป้อน“ ชื่อธุรกิจ” ของคุณ โดยชื่อธุรกิจของคุณ และชื่อจริงของธุรกิจของคุณต้องเป็นชื่อเดียวกันไม่เช่นนั้น TikTok จะปฏิเสธบัญชีของคุณ เมื่อได้รับการตรวจสอบ

หากคุณวางแผนที่จะใช้ผลิตภัณฑ์ TikTok for Business เช่น Creator Marketplace หรือสมัครโปรแกรมเครดิตโฆษณา ชื่อธุรกิจจะต้องตรงกับชื่อในเอกสารทางการของคุณ เช่น ใบอนุญาตธุรกิจหรือ IRS SS-4 EIN Assignment จดหมาย

และเลือก “สกุลเงิน” ที่คุณต้องการใช้สำหรับการเรียกเก็บเงิน เมื่อคุณกรอกข้อมูลทั้งหมดแล้วให้ยอมรับข้อกำหนดในการให้บริการแล้วคลิก “ลงทะเบียน”

3) การเข้าถึงการตั้งค่าบัญชีของคุณ

หากต้องการเข้าถึง “ข้อมูลบัญชี” ของคุณให้ไปที่แผงควบคุมโฆษณา TikTok ของคุณโดยคลิกที่ “แดชบอร์ด” ภายใต้ “การตั้งค่าบัญชี”

4) กรอกข้อมูลธุรกิจของคุณ

ป้อน“ เว็บไซต์ บริษัท ” ของคุณโดยใช้รูปแบบ“ https://www.yourdomain.com/” สำหรับ URL ของคุณ มิฉะนั้นเว็บไซต์จะถูกปฏิเสธในระหว่างการตรวจสอบบัญชี โดยเว็บไซต์ของบริษัทของคุณ ต้องทำงานได้อย่างถูกต้อง

มีข้อมูลติดต่อโปรโมตผลิตภัณฑ์ หรือบริการของคุณอย่างชัดเจน และเกี่ยวข้องกับผลิตภัณฑ์หรือบริการที่คุณต้องการโปรโมต และเลือก “อุตสาหกรรม” ที่ตรงกับผลิตภัณฑ์ หรือบริการของคุณมากที่สุด และให้กรอก “ที่อยู่” “รัฐ / จังหวัด” และ “รหัสไปรษณีย์” ของสำนักงานใหญ่ของคุณ หรือที่จดทะเบียนธุรกิจของคุณ

นอกจากนี้ คุณยังมีตัวเลือกในการอัปโหลด “การยืนยันธุรกิจ” บางรูปแบบ คุณสามารถอัปโหลดหมายเลขที่ออกโดยรัฐบาล ซึ่งคุณใช้ในการชำระภาษีเช่นดีบุกของคุณ ขั้นตอนนี้ไม่จำเป็นต้องใช้

5) เลือกวิธีการชำระเงิน

6) ส่งข้อมูลบัญชีของคุณ

วิธีสร้างโฆษณาบน TikTok

จะเห็นว่าTikTok ได้กลายเป็นหนึ่งในแอพยอดนิยม ในช่วงสี่ปีที่ผ่านมา วัฒนธรรมเทรนด์ และลักษณะการมีส่วนร่วม จะผลักดันให้ผู้ใช้มีส่วนร่วมกับธุรกิจของคุณมากขึ้นด้วยโฆษณาที่วางไว้อย่างเหมาะสม บนเครือข่ายโซเชียลมีเดียของพวกเขา แม้ว่า TikTok อาจมีราคาสูงสำหรับแบรนด์ขนาดใหญ่ แต่พวกเขาได้เปิดประตูให้ธุรกิจขนาดเล็กมีโอกาสเข้าถึงลูกค้าได้มากขึ้น ซึ่งคุ้มค่ากับเงินที่เสียไปในการวางโฆษณามากเลยทีเดียว

เครดิต https://up388.com

เพิ่มเติม /

Huawei เริ่มพัฒนา6Gแล้ว จริงหรือไม่

Huawei เริ่มพัฒนา6Gแล้ว จริงหรือไม่

Huawei เริ่มพัฒนา6Gแล้ว จริงหรือไม่ มีหลายคนสงสัยว่า 5G พึ่งพัมนาขึ้นมา แถมยังไม่ครอบคลุมทั่วทุกพื้นที่ของประเทศไทยเลย แต่จะมีการพัฒนา 6G ขึ้นมาอีกแล้วหรือ เชื่อเลยว่าหลายคนตั้งสงสัย และตั้งคำถามนี้ขึ้นมาอย่างแน่นอน และล่าสุดนี้ Huawei เรื่มมีโครงการที่จะพัฒนาเครือข่าย 6G ขึ้นมาแล้ว

และเครือข่าย 6G นี้ จะมีความเร้วกว่า 5G ถึง 100 เท่าเลยก็ว่าได้ โดยอัตราความเร็จอาจสูงถึง 1,000 Gbps และคาดว่าจะเริ่มใช้งานจริงในปี 2030 นี้!!

จากการประชุมของนักวิเคราะห์ระดับโลกครั้งที่ 18 Eric Xu โดยประธานของ Huawei ได้แบ่งปันข้อมูลบางอย่างที่เกี่ยวกับการเจริญเติมโตของธุรกิจของบริษัทในปี 2020 และยังยืนยันว่าธุรกิจของปีที่แล้วได้เป็นไปตามความคาดหวังที่ได้ตั้งไว้

อย่างไรก็ตาม Huawei ก็ไม่ได้นำเสนอเพียงแค่รูปแบบของกลยุทธ์ทางด้านธุรกิจเท่านั้น แต่ยังนำเสนอถึงแผนสำหรับอนาคต ซึ่งรวมไปถึงเครือข่าย 6G อีกด้วย ซึ่งเราสามารถทราบดีอยู่แล้วว่า การเข้าถึงของเครือข่าย 5G นั้น ยังไม่ได้รองรับ หรือครอบคลุมไปทั่วทุกพื้นที่ หรือยังไม่กว้างนักในระดับโลก แต่บริษัท Huawei ก็ได้เริ่มวางแผน หรือพูดถึงโครงการของเครือข่ายใหม่ที่จะเกิดขึ้นนี้แล้ว

ซึ่ง Eric ได้กล่าวว่า Huawei ได้นำหน้าคู่แข่งด้านเทคโนโลยี 5G อยู่แล้ว และได้เป็นผู้นำในการวิจัย ทดสอบ หรือพัฒนาระบบเครือข่ายของ 6G โดยระบบเครือข่ายของ 6G นี้

จะเริ่มเปิดตัวขึ้นสู้ตลาดระมาณปี 2030 และมีแนวโน้วว่า Huawei จะออกเอกสาร White Paper 6G ในอนาคตอันใกล้นี้อีกด้วยและ Cui Baoguo รองคณบดีของ School of Information ที่ Tsinghua University เคยคาดการณ์ว่า ความเร็วของระบบเครือข่าย 6G นี้ สามารถเข้าถึง หรือส่งข้อมูลได้ในระดับ 1,000 กิกะไบต์ต่อวินาที โดยมี latency ต่ำกว่าถึง 100 us-microseconds (0.1 ms-meter ต่อวินาที)

โดยความเร็ของระบบเครือข่าย 6G เป็นเป็น 100 เท่าของระบบเครือข่าย 5G และ Latency คิดเป็นเพียง 1 ใน 10 ของระบบเครือข่าย 5G เท่านั้น โดยระบบเครือข่าย 6G นี้ จะมีความเหนือกว่าระบบเครือข่าย 5G เป็นอย่างมากในแง่ของความหนวง ความหนาแน่นของปริมาณของข้อมูล ความหนาแน่นของการเชื่อมต่อ ความคล่องตัว

รวมถึงปริมาณของสเปกตรัม และความสามารถในการระบุตำแหน่ง ซึ่งสำหรับโลกของเราในตอนนี้ หรือโลกปัจจุบันนี้ ระบบเครือข่ายของ 6G ยังไม่เป็นที่รู้จัก หรือมีความเข้าใจสำหรับใครหลาย ๆ คน แต่ก็ยังมีข้อถกเถียง หรือข้อสงสัยกันเกิดขึ้นอยู่ แต่ในทางกลับกัน บริษัท และผู้เชี่ยวชาญหลายท่าน และหลายแห่งก็ยังไม่ได้มีการคิด หรือจะพัฒนาให้เกิดระบบเครือข่าย 6G นี้ขึ้นมา

เนื่องจากพวกเขาต้องการที่จะให้ Huawei และพัธมิตรในอุตสาหกรรมที่จะจัดพิมพ์ White Paper ขึ้นมา เพื่อที่จะให้อธิบายถึงตัวอย่างในการใช้งานที่เป็นไปได้ของระบบเครือข่าย 6G นอกเหนือจากความเร็วของการส่งข้อมูลของเครือข่ายแล้ว

ผู้เชี่ยวชาญยังมีความเชื่ออีกว่า 6G จะนำระบบ Eco ที่เชื่อมต่ออย่างสมบูรณ์ สำหรับสถาปัตยกรรมเครือข่าย และจะเป็นเครื่องมือที่ดี และมีคุณภาพที่สุดสำหรับการรวบรวมการสื่อสาร ผ่านระบบดาวเทียม เพื่อให้ครอบคลุมอย่างทั่วถึง และทั่วโลกได้อย่างราบรื่น

ผ่านการรวมการสื่อสารผ่านดาวเทียมสัญญาณเครือข่าย และสามารถเข้าถึงพื้นที่ของประเทศใดก็ได้ทั่วโลก อย่างไรก็ตาม ทุกสิ่งทุกอย่างที่มนุษย์ได้คิดค้น หรือพัฒนาขึ้น ก็เพื่ออำนวยความสะดวก และล้วนเป็นประโยชน์ต่อมนุษย์โลกทั้งนั้น และระบบเครือข่าย 6G จะเกิดขึ้นจริงหรือไม่ หรือจะมีการพัฒนาให้มีความสามารถเหนือระบบเครือข่าย 5G จริงหรือไม่นั้น ก็ขึ้นอยู่กับสถานะการณ์บ้านเมืองอีกด้วย

แต่อย่างไรก็ตามปี 2030 นี้ พวกเราจะได้พบกับระบบเครือข่าย 6G หรือไม่นั้น ต้องติดตามชมกันอีกที แต่เชื่อได้เลยว่า บริษัท Huawei ซึ่งเป็นบริษัทยักษ์ใหญ่ด้านเทคโนโลยีไม่ทให้พวกเราต้องผิดหวังแน่นอน!!!

Huawei เริ่มพัฒนา6Gแล้ว จริงหรือไม่

นอกจากนี้ Richard Yu, CEO ฝ่าย Huawei Consumer ยังให้สัมภาษณ์เพิ่มเติมอีกว่าว่า ด้วยเทคโนโลยี 6G จะทำให้การสื่อสารอย่างสมบูรณ์แบบทั้งทางอากาศ ทางบก และทางทะเล ซึ่งบนคลื่น terahertz จะมีอัตราความเร็วในการส่งข้อมูลสูงกว่า 5G ถึง 100 เท่า!! และ 6G จะถูกใช้ในอุปกรณ์ IoT ด้านอุตสาหกรรม ยานพาหนะขับเคลื่อนอัตโนมัติทุกชนิด และอุปกรณ์อัจฉริยะทุกชนิดอีกด้วย

ความรู้เพิ่มเติม

6G จะเป็นอย่างไร

6G จะมีผลกระทบอย่างมากต่อโซลูชันของรัฐบาล และอุตสาหกรรมในด้านความปลอดภัย ะและการปกป้องทรัพย์สินที่สำคัญหลายประการ เช่น การตรวจจับภัยคุกคาม การตรวจสอบสุขภาพ คุณลักษณะ และการจดจำใบหน้า การตัดสินใจ (ในด้านต่าง ๆ เช่น การบังคับใช้กฎหมาย และระบบเครดิตทางสังคม)

การตรวจวัดคุณภาพอากาศ การตรวจจับก๊าซและความเป็นพิษ การปรับปรุงในสาขาเหล่านี้ยังช่วยให้สามารถปรับปรุงเทคโนโลยีที่เกิดขึ้นใหม่ เช่น เมืองอัจฉริยะ และยานยนต์อิสระ เป็นต้น

ด้วยการส่งข้อมูลที่สร้างโดย 6G มีความเหนือกว่าเครือข่าย 5G อย่างมาก และมีวิวัฒนาการของการประมวลผลเพื่อรวมการประสานงานระหว่างแพลตฟอร์ม edge และ core จึงเป็นสิ่งสำคัญอย่างมาก และความสามารถของ 6G รุ่นต่อไปในด้านการตรวจจับ การถ่ายภาพ และการกำหนดตำแหน่ง จะสร้างข้อมูลจำนวนมหาศาล และส่งข้อมูลได้อย่างรวดเร็วยิ่งขึ้น

เครดิต https://up388.com

เพิ่มเติม /

โพสต์ IG เวลาไหนให้ปัง

โพสต์ IG เวลาไหนให้ปัง

โพสต์ IG เวลาไหนให้ปัง โดย IG หรือ Instagram เป็นโปรแกรมสำหรับแบ่งปันรูปภาพ และวิดีโอ ซึ่งเป็นโปรแกรมยอดฮิตอีกโปรแกรมหนึ่งเป็นที่นิยมเป็นอย่างมากในปัจจุบัน เนื่องจากมีฟีเจอร์ใหม่ ๆ อัพเดทให้เล่นตลอดเวลา

ล่าสุดในเดือนกุมภาพันธ์ 2564 Instagram เริ่มทดสอบฟีเจอร์ใหม่ที่เรียกว่า Vertical Stories โดยแหล่งข่าวบางแห่งได้รับแรงบันดาลใจจาก TikTok ในเดือนเดียวกัน พวกเขายังเริ่มทดสอบการลบความสามารถในการแบ่งปันโพสต์ ฟีดกับเรื่องราวต่าง ๆ

ในเดือนมีนาคมปี 2021 Instagram ได้เปิดตัวฟีเจอร์ใหม่ที่คน 4 คน สามารถถ่ายทอดสดได้พร้อมกัน อินสตาแกรม ยังประกาศด้วยว่า ผู้ใหญ่จะไม่ได้รับอนุญาตให้ส่งข้อความถึงวัยรุ่นที่ไม่ติดตามพวกเขา ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของนโยบายความปลอดภัยของเด็กสมัยใหม่ 

และเคยสงสัยกันใหม่ว่า ทำไมบางคนแค่โพสต์รูป หรือวิดีโอเพียงไม่กี่นาที แต่ทำไมมียอดไลน์เพิ่มขึ้นครั้งละ 100 200 หรือเป็นแสน ๆ เลยก็ว่าได้ แต่สำหรับบางคนโพสต์ไปเป็นชั่วโมง หรือเป็นวันแล้ว แต่ยอดไลน์ยังไม่ถึง 50 เลยก็มี นี่ก็เป็นหนึ่งข้อ และเชื่อว่าหลายคนก็มีข้อสงสัยอยู่เช่นกัน

มาทำความรู้จักกันว่าควรโพสต์เวลาไหนถึงจะมียอดไลน์เยอะ และควรโพสต์แบบไหนถึงจะมีผู้คนสนใจ และติดตามเรามากขึ้น ซึ่งยอดไลน์ และยอดติดตามไม่ใช่เพียงแต่จะเป็นแค่ตัวเลขเท่านั้น แต่ยังสามารถเป็นประโยชน์ต่อการเพิ่มยอดขายของเหล่าแม่ค้าอีกด้วย มาดูกันว่า เวลาที่ดีที่สุดในการโพสต์บน Instagram คือเมื่อใด

เวลาที่ดีที่สุดในการโพสต์บน Instagram คือเมื่อใด

โดยเฉลี่ยแล้ว เวลาที่ดีที่สุดในการโพสต์บน Instagram คือ ช่วงเวลาระหว่าง 10.00 น. ถึง 15.00 น. CDT อย่างไรก็ตามระดับการมีส่วนร่วมที่คุณได้รับ สามารถเปลี่ยนแปลงได้อย่างมาก ขึ้นอยู่กับว่าคุณโพสต์วันไหนในสัปดาห์ วันที่ดีที่สุดในการโพสต์บน Instagram คือ วันพุธตลอดทั้งวัน โดยเฉพาะเวลา 11.00 น. และวันศุกร์ตั้งแต่ 10.00 น. ถึง 11.00 น.

ช่วงเวลาที่ผู้คนส่วนใหญ่เข้าใช้งาน Instagram มีดังนี้

  • เวลา 07.00 น. CDT ตั้งแต่วันพุธถึงวันศุกร์ สามารถสร้างการมีส่วนร่วมสูงสุด หรือสามารถมียอดไลน์ และยอดการมองเห็นได้มากที่สุด โดยปกติแล้วผู้คนจะเช็คโทรศัพท์ทันทีเมื่อตื่นนอน
  • การโพสต์เวลา 11.00 น. ถึง 15.00 น. CDT ในช่วงนี้ ของวันธรรมดา ทำให้เกิดการมีส่วนร่วมได้มากเช่นกันโดยปกติแล้ว ผู้คนจะเช็คโทรศัพท์ระหว่างรับประทานอาหารกลางวัน หรือเมื่อพวกเขาเริ่มว่างจากการทำงาน
  • หากคุณต้องการโพสต์ในวันหยุดสุดสัปดาห์ ให้โพสต์ในวันเสาร์ประมาณ 10.00 น. CDT เมื่อผู้คนรับประทานอาหารมื้อสาย หรือออกไปเที่ยวกับเพื่อน ๆ

ช่วงเวลาที่ดีที่สุดในการโพสต์บน Instagram ในแต่ละวัน มีดังนี้

  1. วันอาทิตย์ : ตั้งแต่เวลา 8.00 น. – 14.00 น. (แม้ว่าโดยทั่วไป การมีส่วนร่วมจะต่ำในวันนี้ เนื่องจากเป็นวันหยุดพักผ่อนกับครอบครัว และบุคคลสำคัญ)
  2. วันจันทร์ : ช่วงเวลา 11.00 – 14.00 น
  3. วันอังคาร : ช่วงเวลา 10.00 – 15.00 น., * 19.00 น
  4. วันพุธ : ช่วงเวลา 7.00 น. – 16.00 น.
  5. วันพฤหัสบดี : ช่วงเวลา 10.00 – 14.00 น. หรือ 18.00 – 19.00 น
  6. วันศุกร์ : ช่วงเวลาา * 9.00 – 14.00 น
  7. วันเสาร์ : ช่วงเวลา 9 – 11.00 น

* = การมีส่วนร่วมในระดับสูงโดยเฉพาะ

โดยเฉลี่ยแล้ว ช่วงเวลาที่มีผู้เข้าใช้งาน Instagram มากที่สุดของทุกวัน คือ ช่วงเวลา 19.00 นาที ถึง 22.00 นาที เนื่องจากเป็นช่วงที่ว่างจากการทำงาน และเป็นช่วงเวลาก่อนที่จะเข้านอน หรือพักผ่อน

อย่างไรก็ตาม การเพิ่มยอดไลน์ หรือการเพิ่มยอดติดตามด้วยการเลือกช่วงเวลาในการโพสต์แล้ว ยังมีอีกหลายปัจจัยที่สามารถช่วยในการเพิ่มยอดไลน์ได้ ดังนี้

1. การพิมพ์คำบรรยายของคุณก่อนโพสต์

โพสต์ หรือบรรยายสิ่งที่สร้างสรรค์ และเขียนคำบรรยายที่สวยงาม และน่าสนใจ เพื่อให้เข้ากับรูปภาพของคุณ เนื่องจากข้อความสามารถช่วยเพิ่มประสิทธิภาพโพสต์ของคุณในการค้นหาของ Instagram ได้การเขียนบางสิ่งจะเป็นประโยชน์ต่อคุณเท่านั้น

2. รูปภาพ

ซึ่งรูปภาพก็เป็นหนึ่งส่วนที่สามารถดึงดูดความสนใจจากผู้ชมได้ เช่น การถ่านภาพแนวสร้างสรรค์ หรือการแต่งรูปภาพที่สวยงาม และแปลกตา โดย Instagram มีตัวเลือกในการแตกภาพที่หลากหลาย ดังนี้

  • ปรับ – ช่วยหมุนภาพอย่างละเอียดตามแนวระนาบกลาง
  • ความสว่าง – ช่วยให้ภาพสว่างขึ้นหรือมืดลง
  • ความคมชัด – ช่วยเพิ่มหรือลดความเข้มของสีของภาพ 
  • โครงสร้าง – ช่วยเพิ่มเอฟเฟกต์แบบ HD ให้กับภาพ
  • ความอบอุ่น – ช่วยปรับอุณหภูมิของภาพ ลากตัวเลือกไปทางซ้าย เพื่อเพิ่มโทนสีเย็นในภาพ หรือลากตัวเลือกไปทางขวา เพื่อเพิ่มโทนสีอบอุ่นในภาพ 
  • ความอิ่มตัว – ช่วยให้คุณปรับความอิ่มตัวของสีในภาพของคุณ 
  • สี – ช่วยให้คุณมีตัวเลือกสีมากมายในการซ้อนทับภาพของคุณ เพื่อให้ได้เอฟเฟกต์สีที่น่าสนใจ
  • Fade – สิ่งนี้จะทำให้ความเข้มของสีดำในภาพของคุณอ่อนลง เพื่อสร้างเอฟเฟกต์ภาพถ่าย “อายุ” 
  • ไฮไลต์ – ช่วยให้คุณควบคุมความเข้มของไฮไลต์ในภาพของคุณได้ 
  • เงา – สิ่งนี้จะช่วยให้คุณควบคุมความเข้มของเงาในภาพของคุณ ให้ดูมีมิติมากขึ้น
  • Tilt Shift – ช่วยเบลอขอบของภาพในแนวรัศ มีหรือเส้นตรง โดยดึงโฟกัสไปที่รายละเอียดตรงกลางภาพ
  • Sharpen – ช่วยให้รายละเอียดบางอย่างของภาพคมชัดขึ้น ทำให้องค์ประกอบที่ละเอียดกว่าในภาพดูน่าทึ่งมากขึ้น

3. ใช้แฮชแท็กเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการโพสต์

ด้วยคุณสมบัติการค้นหาของ Instagram ผู้ใช้สามารถค้นหาด้วยแฮชแท็ก ดังนั้น คุณควรแน่ใจว่าได้เขียนแฮชแท็กที่เกี่ยวข้องกับคำบรรยายภาพของคุณ หากมีคนค้นหาแฮชแท็กที่คุณใส่ไว้ในคำบรรยาย พวกเขาอาจพบโพสต์ของคุณเช่นเดียวกับคนอื่น ๆ ที่มีแฮชแท็กเดียวกัน

4. การแท็กเพื่อน

ในหน้าโพสต์คุณสามารถคลิก “แท็กผู้คน” เพื่อแท็กบัญชี Instagram อื่น ๆ ในโพสต์ของคุณ หรือคุณสามารถใส่หมายเลขอ้างอิง (หรือชื่อผู้ใช้ที่ขึ้นต้นด้วยสัญลักษณ์ @) ในคำอธิบายภาพของคุณ เพื่อเพิ่มการมองเห็นที่กว้างขึ้น

5. เพิ่มตำแหน่งของคุณ

หากคุณกำลังอยู่ในช่วงวันหยุดที่สนุกสนานหรือในงานที่เป็นระเบียบและคุณไม่อยากรวมข้อมูลนั้นไว้ในคำบรรยายภาพของคุณคุณสามารถทำเครื่องหมายว่าคุณอยู่ที่ไหนได้อีกทางหนึ่ง ในหน้าโพสต์ให้แตะ “เพิ่มตำแหน่ง” เพื่อใส่ตำแหน่งบนรูปภาพของคุณ (ซึ่งจะทำให้คนอื่นพบโพสต์ของคุณได้ง่ายขึ้น)

เมื่อคุณโพสต์รูปภาพหรือวิดีโอพร้อมตำแหน่งรูปภาพนั้นจะปรากฏขึ้นระหว่างชื่อของคุณและบล็อกเนื้อหาบนฟีด

6. แชร์โพสต์บนแพลตฟอร์มโซเชียลมีเดียอื่น ๆ

สุดท้ายหากคุณต้องการแบ่งปันเนื้อหาของคุณบนไซต์โซเชียลมีเดียอื่น ๆ ที่เชื่อมต่อกัน (เช่น Facebook หรือ Twitter) เพียงแค่เลื่อนแถบจากด้านซ้ายไปทางขวาก็สามารถแชร์ได้โดยเร็ว และยังเป็นอีกหนึ่งชองทางที่จะให้เพื่อน ๆ บนไซต์โซเชียลมีเดียอื่น ๆ สามารถมองเห็น Instagram ของคุณเพิ่มขึ้น

โพสต์ IG เวลาไหนให้ปัง

การโพสต์ หรืออัพรูป หรือวิดีโอลง Instagram อย่างสม่ำเสมอนั้น สามารถช่วยให้ธุรกิจต่าง ๆ ได้รับการตอบสนองจากผู้ชม และมียอดไลน์ ยอดติดตามเพิ่มมากขึ้น อย่างไรก็ตาม การจะมีผู้ติดตาม หรือยอดไลน์มากขึ้นนั้นก็ขึ้นอยู่กับแนวคิดคำบรรยาย รูปภาพ และวิดีโอของผู้โพสต์อีกด้วย

เครดิต https://up388.com

เพิ่มเติม /

IoB คืออะไร

IoB คืออะไร

IoB คืออะไร โดย IoB ย่อมาจากคำว่า  Internet of Behavior ซึ่งเป็นหนึ่งในแนวโน้มทางด้านเทคโนโลยี โดยการเกิดขึ้นของ Internet of Behavior ทำให้มีโอกาสมากขึ้นในการรวบรวม และวิเคราะห์ข้อมูลต่าง ๆ 

และนี่คือแนวโน้มที่จะช่วยให้มั่นใจได้ว่า บริษัท ต่าง ๆ จะเติบโตอย่างต่อเนื่อง เมื่อเผชิญกับความเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ที่เกี่ยวข้องกับ COVID-19 และบรรยากาศทางเศรษฐกิจของโลก นักวิเคราะห์มองเห็นวิธีต่าง ๆ ในการใช้ IoB ในธุรกิจการขาย การเงิน การประกันภัย และอื่น ๆ อีกมากมาย

ดังนั้นคำถามที่ว่าจะเปลี่ยนข้อมูลให้กลายเป็นสิ่งที่มีประโยชน์ที่จะนำกำไรมาสู่ บริษัท ได้อย่างไรจึงได้รับคำตอบจากแนวคิดของ Internet of Behavior ดังต่อไปนี้

Internet of Behavior คืออะไร ?

โดย Internet of Things (IoT) คือ การเชื่อมต่ออุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ให้เข้ากับอินเทอร์เน็ต อีกในความหมายหนึ่งคือ Internet of Behaviors (IoB) คือ การรวบรวมข้อมูลเกี่ยวกับการใช้แกดเจ็ตเหล่านี้เพื่อรับข้อมูลเกี่ยวกับพฤติกรรมความสนใจ และความชอบของผู้ใช้งาน ซึ่งข้อมูลสามารถใช้เป็นเกณฑ์มาตรฐานในการทำแผนตามพฤติกรรมของลูกค้า 

ซึ่งการศึกษาพฤติกรรมที่ขับเคลื่อนด้วยข้อมูลนี้ ได้รับการประกาศครั้งแรก โดย Gote Nyman ในปี 2012 ซึ่งเป็นศาสตราจารย์ด้านจิตวิทยา ที่เกษียณแล้ว ที่มหาวิทยาลัยเฮลซิงกิ โดย ไนแมน เชื่อว่าการวิเคราะห์พฤติกรรมนี้ สามารถทำนายความตั้งใจของบุคคล และสิ่งที่เกิดขึ้นได้ในโลกที่สามารถเชื่อมต่อกัน และ IoB ยังใช้งานง่ายในทางเทคนิค 

อย่างไรก็ตามมันเป็นเรื่องยากมากในทางจิตใจ สถิติแสดงนิสัย และพฤติกรรมในชีวิตประจำวันของความต้องการของแต่ละบุคคล แต่ก็ไม่สามารถเปิดเผยความหมาย และบริบทของชีวิตแต่ละคนได้อย่างเต็มที่ และละเอียดมากไปกว่านี้

IoB มุ่งหวังที่จะทำความเข้าใจ และใช้ข้อมูลอย่างถูกต้อง เพื่อสร้าง และส่งเสริมผลิตภัณฑ์ ซึ่งข้อมูลนี้ใช้เพื่อสร้างแนวทางใหม่ในการพัฒนาประสบการณ์ของผู้ใช้ เพิ่มประสิทธิภาพ ประสบการณ์การด้านการค้นหาและสร้าง รวมถึงการส่งเสริมสินค้า และบริการของบริษัทอีกด้วย

IoB มีความสำคัญอย่างไร ?

มีความสำคัญต่อองค์กรต่าง ๆ ซึ่งแต่ละองค์กรกำลังปรับปรุง ไม่ได้มีเพียงแต่ปริมาณของข้อมูลที่รวบรวมเท่านั้น แต่ยังรวมไปถึงวิธีการผสมผสานข้อมูลจากแหล่งข้อมูลต่าง ๆ และการใช้งาน IoB จะยังคงมีอิทธิพลต่อวิธีการที่องค์กรมีปฏิสัมพันธ์กับผู้คน IoB สามารถรวบรวม และประมวลผลข้อมูลจากแหล่งต่าง ๆ ที่สำคัญได้ เช่น

  • ข้อมูลลูกค้า
  • ข้อมูลพลเมืองที่ประมวลผลโดยหน่วยงานของรัฐ
  • สื่อสังคม
  • การจดจำใบหน้าที่เป็นสาธารณสมบัติ
  • การติดตามตำแหน่ง

IoB มีประโยชน์อย่างไร ?

  • สามารถช่วยแก้ไขปัญหาเพื่อปิดการขาย และทำให้ลูกค้าพึงพอใจ
  • สามารถมาแทนที่แบบสำรวจลูกค้าได้หลายรายการ
  • สามารถวิเคราะห์พฤติกรรมการซื้อของลูกค้าในแพลตฟอร์มต่าง ๆ ได้
  • สามารถศึกษาข้อมูลที่ไม่สามารถหาได้ เกี่ยวกับวิธีที่ลูกค้าโต้ตอบกับบริการสิ่งที่ดี และอุปกรณ์ต่าง ๆ
  • สามารถทำความเข้าใจให้ดีขึ้นว่า ลูกค้ากำลังซื้อของอยู่ที่ไหน
  • สามารถให้การแจ้งเตือนแบบเรียลไทม์เกี่ยวกับจุดขาย และโฆษณาเป้าหมายได้

ซึ่งบริษัทต่าง ๆ ได้ทำการวิเคราะห์ ทดสอบ และใช้วิธีการอื่น ๆ เป็นเวลาหลายปี เพื่อสร้างกลยุทธ์ในการสร้าง และโปรโมตผลิตภัณฑ์ที่ผู้ใช้ต้องการซื้อ โดยพฤติกรรมออนไลน์สามารถช่วยเพิ่มอุตสาหกรรมด้านการขายอย่างมาก และข้อมูลจะเป็นพื้นฐานสำหรับบริษัทต่าง ๆ ในการวางแผนสำหรับการพัฒนาการตลาด และการขาย 

IoB เกี่ยวกับโอกาสทางการตลาดใหม่ ๆ อย่างไร ?

ซึ่งจะมีข้อมูล และวัสดุใหม่ ๆ มากมายสำหรับนักการตลาดในการวิเคราะห์ เพื่อที่จะนำหน้าคู่แข่ง นอกจากนี้ ยังสามารถช่วยให้ได้รับประโยชน์ และเพิ่มจำนวนลูกค้าที่พึงพอใจได้

Internet of Behavior จะช่วยในการศึกษาเส้นทางของลูกค้าทั้งหมด โดยการรวบรวมข้อมูลจากผู้ติดต่อหลาย ๆ จุด ยกตัวอย่างเช่น คุณสามารถค้นหาได้ว่าความสนใจของลูกค้าในผลิตภัณฑ์ หรือบริการเริ่มต้นที่ใด เส้นทางไหน และช่วงเวลาในการซื้อ ซึ่งวิธีนี้ จะสร้างจุดติดต่อกับลูกค้าร่วมกันมากขึ้น และค้นหาวิธีใหม่ ๆ ในการสื่อสารกับลูกค้า

โดยการใช้ปัญญาประดิษฐ์ และผู้ช่วยด้านเสียง เช่น Apple Siri, Amazon Alexa หรือ Google Home ซึ่งแสดงให้เห็นว่า เครื่องมือค้นหาพยายามทำความเข้าใจพฤติกรรมของผู้ใช้ แต่หน้าเว็บไซต์จะยังไม่ได้รับการประเมินโดยเนื้อหาคำหลักอีกต่อไป แต่จะเป็นภาษาธรรมชาติที่ใช้ ดังนั้นแนวทางในการทำ SEO ก็จะเปลี่ยนไปเช่นกัน

สิ่งที่ไม่คาดคิด คือ IoB สามารถตรวจจับ และมีอิทธิพลต่อรูปแบบพฤติกรรมของพนักงานได้ ระบบจดจำใบหน้า ให้ความปลอดภัยในสำนักงาน แต่ในทางกลับกัน จะเป็นตัวควบคุมพนักงานในที่ทำงาน และนอกสำนักงานอีกด้วย ดังนั้น Intel จึงใช้การจดจำใบหน้า เพื่อระบุพนักงาน และบุคคลที่อาจเป็นภัยคุกคาม และ PwC ได้เปิดตัวเทคโนโลยีสแกนใบหน้าเพื่อตรวจสอบพนักงานที่ทำงานจากที่บ้าน

บริษัท ต่างๆจะจ้างผู้ที่มีความเชี่ยวชาญด้านจิตวิทยาพฤติกรรม และวิทยาศาสตร์ข้อมูล เพื่อวิเคราะห์ และสร้างกลยุทธ์ทางการตลาดใหม่ ๆ

ภายในปี 2566 Garther คาดการณ์ว่า 40% ของประชากรโลกจะถูกติดตามแบบดิจิทัล มีผู้คนมากกว่า 3 พันล้านคน และภายในปี 2568 ประชากรมากกว่าครึ่ง จะเข้าร่วมในโครงการ IoB อย่างน้อยหนึ่งโครงการ

เนื่องจาก IoB เป็นส่วนเสริมของ IoT พวกเขาจะเติบโต และพัฒนาไปพร้อม ๆ กัน อีกไม่กี่ปี IoB จะกลายเป็นระบบที่สามารถกำหนดพฤติกรรมของมนุษย์ในโลกดิจิทัล 

แต่แม้จะมีความสะดวกสบาย และประโยชน์ของการใช้ IoB แต่แนวโน้มนี้ จะทำให้เกิดคำถามมากมายตามมา รวมถึงคำถามที่เกี่ยวข้องกับความปลอดภัยของบริษัทต่าง ๆ จะต้องดำเนินโครงการให้ความรู้และความตระหนักในการรักษาความปลอดภัยทางไซเบอร์เพิ่มมากขึ้น

IoB คืออะไร

อย่างไรก็ตาม ทุกสิ่งทุกอย่างที่มนุษย์พัฒนาขึ้นก็เพื่อความสะดวกสบาย และพัฒนาขึ้นมาเพื่อแก้ไขปัญหาต่าง ๆ บนโลกทั้งนั้น IoB จะใช้ได้ผลมากน้อยเพียงใด เวลาจะพิสูจน์ให้ทุกคนได้เห็นกัน

เครดิต https://up388.com

เพิ่มเติม /

TikTok Algorithm ทำงานอย่างไร

TikTok Algorithm ทำงานอย่างไร

TikTok Algorithm ทำงานอย่างไร โดยปัจจุบันจะเห็นว่า TikTok ได้กลายเป็นหนึ่งในโซเซียลเน็ตเวิร์กที่มีคนนิยมเข้าไปใช้งานมากที่สุดในขณะนี้ และผู้ใช้งานหลายพันคนได้ใช้เวลาอยู่กับ TikTok หลายต่อหลายชั่วโมงในแต่ละวัน

และหลายคนอาจมีข้อสงสัยหลายอย่างว่า อัลกอริทึม TikTok ทำงานอย่างไร และจะทำอย่างไรให้มีผู้คนเข้าถึงการมองเห็นเรา และสามารถติดตามเราได้มากขึ้นบนโลกโซเซียล ซึ่งถ้าเรารู้การทำงานเกี่ยวกับอัลกอริทึม TikTok ก็ไม่ยากที่เราจะสามารถไขปริศนาในข้อสงสัยเหล่านี้ได้

อัลกอริทึม TikTok ทำงานอย่างไร

1. ด้านการโต้ตอบกับผู้ใช้

โดยส่วนใหญ่แล้ว อัลกอริทึม TikTok มักมองหาการโต้ตอบของผู้ใช้งาน ดังนั้น จึงจะแสดงโพสต์ที่ผู้ใช้ได้โต้ตอบด้วยบนหน้าฟีด นั่นเป็นเหตุผลว่า ทำไมคุณมักจะโต้ตอบกับบัญชีใดบัญชีหนึ่ง และได้เห็นวิดีโอทั้งหมดของบัญชีนั้น มีแนวโน้มว่าเนื้อหาจากบัญชีนั้นจะปรากฏในส่วน ForYou บ่อยขึ้น

และถ้าหากคุณทำวิดีโอที่ให้ความสนใจของผู้ชมจนจบ ก็จะเป็นจุดสำคัญที่จะมีการมองเห็นเพิ่มมากขึ้น เพราะมันจะปรากฏบนหน้า ForYou

2. ด้านข้อมูลวิดีโอ

ซึ่งบน TikTok ผู้ใช้งานสามารถสร้างวิดีโอได้ตั้งแต่ 15 ถึง 60 วินาที หากผู้ใช้งานมีส่วนร่วมกับโพสต์ใด หรือมีการคอมเมนท์ ก็จะทำให้ข้อมูลวิดีโอนั้นสามารถเพิ่มการมองเห็นได้ในมุมกว้างขึ้น ซึ่งกล่าวคือ สามารถเปิดการมองเห็นได้มากขึ้นนั่นเอง

3. ด้านการตั้งค่าบัญชีหรืออุปกรณ์

กล่าวคือ ตำแหน่งของผู้ใช้ในการตั้งค่าภาษา และแม้แต่ประเภทของอุปกรณ์ ก็มีผลเช่นกัน แต่เป็นสิ่งที่ TikTok ให้ความสำคัญน้อยที่สุดในการจัดประเภทของเนื้อหาเหล่านี้

สำหรับผู้ใช้ที่เลือกประเภทหมวดหมู่ เช่น ประเภทสัตว์เลี้ยง หรือการเดินทาง เพื่อช่วยปรับแต่งคำแนะนำตามความต้องการ สิ่งนี้จะช่วยให้แอปสามารถพัฒนาฟีดเริ่มต้น และจะเริ่มให้คำแนะนำตามการโต้ตอบของคุณกับวิดีโอได้

สำหรับผู้ใช้ที่ไม่ได้เลือกประเภทหมวดหมู่ : จะนำเสนอฟีดทั่วไปของวิดีโอยอดนิยม เพื่อช่วยให้คุณเริ่มต้นใช้งานได้ การแสดงความคิดเห็น และการดูซ้ำ หรือเล่นซ้ำ ระบบจะเพิ่มความนิยมของผู้ใช้เองอย่างอัตโนมัติ

อะไรทำให้อัลกอริทึม TikTok มีประสิทธิภาพมาก

TikTok เป็นแอปวิดีโอบนมือถือขนาดสั้น ๆ ที่ได้รับความนิยมเป็นอย่างมาก ซึ่งคุณสามารถสร้าง และแบ่งปันได้อย่างครบถ้วน ซึ่งเปรียบเหมือนการค้นพบโลกใบใหม่ และเชื่อมต่อกับผู้อื่นได้อย่างกว้างขวาง และเชื่อว่ามีหลายคนที่ดาวน์โหลดแอป TikTok ในโทรศัพท์ของคุณ 

หากคุณดาวน์โหลดแอปโดยบังเอิญคุณไม่จำเป็นต้องสมัครเพื่อดูวิดีโอเหมือนโซเชียลมีเดียอื่น ๆ ซึ่งคุณสามารถเชื่อมต่อกับบัญชีผู้ใช้ที่คุณกำลังใช้งานอยู่ได้ทันที และอะไรทำให้อัลกอริทึม TikTok มีประสิทธิภาพมาก ดังต่อไปนี้

1. สร้างวิดีโอสั้น ๆ

โดยปกติแล้วบน TikTok สามารถสร้างวิดีโอได้ตั้งแต่ 15 ถึง 60 วินาที หากคุณคิดไอเดียร์ หรือปรับแต่งวิดีโอสั้น ๆ เพียง 15 วินาที ให้มีจุดเด่น หรือสามารถสร้างจุดขายที่แปลกใหม่ได้ ผู้ชมของคุณก็มีแนวโน้มที่จะดูวิดีโอของคุณได้จนจบ และยังมีโอกาสเพิ่มยอดติดตามได้อีกด้วย

2. ใช้ชื่อวิดีโอที่น่าดึงดูด

ชื่อวิดีโอก็เป็นสิ่งแรกที่ผู้ใช้เห็นเมื่อเข้ามาที่เนื้อหาของคุณ คำไม่กี่คำที่คุณสามารถใช้ได้เป็นสิ่งที่สำคัญในการดึงดูดความสนใจของผู้ใช้ในไม่กี่วินาที

3. ระบุกลุ่มเป้าหมายอย่างเหมาะสม

คุณควรรู้ว่ามีเนื้อหามากมายที่เหมาะกับทุกวัย และทุกกลุ่ม ดังนั้น โดยพื้นฐานแล้วข้อนี้ยังมีที่ว่างสำหรับทุกคน เพราะมีหลายคนที่ยังไม่เข้าใจ อย่างไรก็ตาม คุณไม่สามารถสร้างความพึงพอใจให้กับทุกคนได้ และสิ่งสำคัญคือต้องรู้จักผู้ชม หรือกลุ่มเป้าหมายของคุณ และสร้างวิดีโอที่ตอบสนองความต้องการเฉพาะของพวกเขาขึ้นมา

และควรนึงกถึงประเภทเนื้อหาที่ผู้ชมส่วนใหญ่ชอบ หากคุณต้องการกำหนดเป้าหมายผู้ชมที่มีอายุระหว่าง 13 ถึง 25 ปี คุณควรสร้างวิดีโอตลก ความรู้ต่าง ๆ เพื่อให้ผู้เข้าชมมีส่วนร่วมมากที่สุด หากคุณกำหนดเป้าหมายเป็นผู้ใหญ่ ที่อายุมากกว่า 35 ปี ให้เน้นที่การสร้างเนื้อหา “เฉพาะทาง” มากขึ้น ซึ่งจะให้ความรู้แก่ผู้ติดตามของคุณ และให้คำแนะนำที่มีค่าแก่พวกเขา

4. ใช้แพลตฟอร์มเกี่ยวกับความรู้แก่ผู้ติดตาม

TikTok เป็นแพลตฟอร์มที่สมบูรณ์แบบ หากคุณต้องการสร้างวิดีโอเพื่อการศึกษา แน่นอนคุณสามารถใช้วิดีโอเดียวกันบน YouTube, Facebook และ Instagram ได้เลย และคุณยังสามารถแยกประเภทวิดีโอ เพื่อดูว่าตรงไหนทำงานได้ดีกว่ากัน

5. ใช้แฮชแท็กเพื่อแสดงหัวข้อที่ทันสมัยที่สุด

การใช้แฮชแท็กบนแพลตฟอร์มโซเชียลมีเดีย เป็นวิธีที่ยอดเยี่ยมวิธีหนึ่ง ที่จะทำให้ธุรกิจของคุณถูกค้นพบได้เร็วขึ้น ผู้ใช้ Twitter และ Instagram จำนวนเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ ที่ย้ายมาที่ TikTok กำลังใช้แฮชแท็กเพื่อค้นหาสิ่งที่กำลังเป็นที่นิยม

วิธีที่ดีที่สุดในการขยายการเข้าถึงธุรกิจของคุณบน TikTok คือ การใช้แฮชแท็กทั่วไปที่ขับเคลื่อนด้วยเทรนด์ และแฮชแท็กเฉพาะทางธุรกิจ ตัวอย่าง เช่น หากคุณต้องการสร้างวิดีโอเกี่ยวกับวิธีการทำงานของพนักงานในร้านอาหาร คุณสามารถใช้แฮชแท็กยอดนิยม เช่น #restaurant และ #employeesworking

อย่าลืมแฮชแท็ก #fyp และ #ForYoum ที่จำเป็นเพื่อรับจุดที่อยากได้ในหน้า For You อย่างไรก็ตาม คุณควรเพิ่มแฮชแท็กที่เป็นเอกลักษณ์เฉพาะของคุณรวมถึงแฮชแท็ก 2-3 ตัว ที่มีชื่อธุรกิจ และชื่อแบรนด์ของคุณ

6. โพสต์ในช่วงเวลาที่มีคนเข้าใช้งาน TikTok เป็นจำนวนมาก

ซึ่งเป็นอีกหนึ่งกลยุทธ์ TikTok ที่ยอดเยี่ยม ที่คุณสามารถใช้ในปี 2021 เพื่อเพิ่มผู้ติดตามและนำ TikTok ของคุณไปสู่ระดับใหม่ คือ การโพสต์เมื่อผู้ชมของคุณออนไลน์

หากคุณทราบแน่ชัดว่า ผู้ชมตอบสนองต่อโพสต์ของคุณระหว่าง 16:00 น. ถึง 19:00 น. ให้อัปโหลดวิดีโอของคุณในช่วงเวลานั้น และไม่ควรอัปโหลดวิดีโอในเวลาเดียวกันหลาย ๆ วิดีโอ และทดสอบหาช่วงเวลาที่เหมาะสมด้วยตกเองโดยการอัปโหลดวิดีโอเป็นช่วง ๆ แล้วมาเปรียบเที่ยบยอดการมองเห็นได้

7. ใช้โซเชียลมีเดียอื่น ๆ เข้าช่วย

โดยการโปรโมตวิดีโอของคุณในบัญชีโซเชียลมีเดียอื่น ๆ ซึ่ง TikTok ไม่ใช่เครือข่ายแบบสแตนด์อโลนที่ลอยอยู่ในจักรวาล กลยุทธ์การตลาดดิจิทัล และวิดีโอที่สมบูรณ์รวมถึงแพลตฟอร์มโซเชียลมีเดียอื่น ๆ เช่น YouTube, Twitter, Instagram, Facebook และแม้แต่ Reddit หรือ Pinterest

สิ่งที่น่าสนใจเกี่ยวกับ TikTok ก็คือ การแชร์วิดีโอบนแพลตฟอร์มอื่น ๆ ซึ่งเป็นเรื่องง่ายมาก หากคุณมีผู้ติดตามที่มากพอ และมั่นคงบนแพลตฟอร์มอื่นอยู่แล้ว นั่นหมายความว่าคุณสามารถแจ้งให้พวกเขาทราบเกี่ยวกับโปรไฟล์ TikTok ของคุณได้ โดยการแบ่งปันวิดีโอของคุณบนเครือข่ายเหล่านั้น

TikTok Algorithm ทำงานอย่างไร

อย่างไรก็ตาม TikToK สามารถสร้างแพลตฟอร์มวิดีโอแรก ขนาดใหญ่ ที่ดึงดูดผู้ใช้ทุกวัยทั่วโลกด้วยอัลกอริธึมการแนะนำเนื้อหาที่เป็นผู้เริ่มต้น ซึ่งแอปเนื้อหาที่ผู้ใช้สร้างขึ้นนั้นดีพอ ๆ กับเนื้อหาบนแพลตฟอร์มเท่านั้น 

ดังนั้นจึงไม่ยุติธรรมที่จะไม่ยกย่องชุดเครื่องมือตัดต่อวิดีโอของ TikTok ที่อนุญาตให้ผู้สร้างสร้างเนื้อหาที่น่าสนใจนี้ได้ กล่าวคือ หากฟิลเตอร์เป็นกุญแจสำคัญในการปลดล็อกรูปภาพที่ดีขึ้นบน Instagram และ ดนตรีกับคำบรรยายนี้ ก็เป็นกุญแจสำคัญในการปลดล็อกวิดีโอที่มีส่วนร่วมมากขึ้นสำหรับ TikTok เช่นกัน

เครดิต https://up388.com

เพิ่มเติม /